บทที่ 2 เฉินหว่านอิ๋ง (๒)
จวนสกุลเฉิน
‘เฉินหว่านอิ๋ง’ บุตรีของเจ้ากรมพระคลังเฉินซู่กวงกำลังนั่งเย็บผ้าไหมอยู่บริเวณหลังเรือนอย่างมีความสุข ภายในเรือนเล็กๆ ราวกับกระท่อมหลังน้อยก็ไม่ปาน แต่ทว่ากลับไม่ทำให้สาวงามผู้นี้ต้องรู้สึกทุกข์ใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามนางกลับมีความสุขกับเรือนหลังน้อยนี้ด้วยซ้ำ
“คุณหนูรอง ได้เวลาเตรียมสำรับเย็นให้ฮูหยินใหญ่และคุณใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” หัวหน้าคนรับใช้ของจวนเดินเข้ามาพลางเอ่ยด้วยท่าทีหยิ่งยโสต่อ
หน้าสตรีร่างบางผู้นี้
เฉินหว่านอิ๋งถอนหายใจ นับตั้งแต่นางเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ นางก็พบว่าตนเองเป็นสมาชิกของสกุลเฉินไปคนหนึ่งแล้ว สตรีวางมือจากผ้าที่กำลังเย็บอยู่แล้วลุกเดินตรงไปยังโรงครัวของจวน ในทุกๆ วันนางจะเป็นผู้ทำอาหารแจกจ่ายแก่สมาชิกในบ้านเสมอตามคำสั่งของฮูหยินใหญ่และพี่สาว เนื่องจากทั้งสองเพิ่งเดินทางกลับมาจากร่วมพิธีอภิเษกฮองเฮาของวังหลวง
‘อู๋ฮองเฮา’ ที่ว่ากันว่าเป็นสตรีที่มีน้ำพระทัยเมตตาและเป็นที่รักใคร่ของราษฎรในบ้านเกิดเมืองนอนของตน แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนกลับมีสาสน์ทาบทามพระนางจากไทเฮา พระราชมารดาของหวังลู่ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน ให้เป็นนางหงส์คู่พระบารมี ทั้งๆ ที่ทุกคนต่างรู้กันดีว่าฝ่าบาทนั้นทรงมีพระสนมเอกที่โปรดปรานมากอยู่ผู้หนึ่ง ‘เกากุ้ยเฟย’ ซึ่งเป็นบุตรีอัครมหาเสนาบดีผู้งดงาม ว่ากันว่านางงดงามดั่งจันทร์เดือนเพ็ญที่สว่างไสว แต่กับอู๋ฮองเฮานั้นแม้ไม่อาจงามทาบรัศมีเกากุ้ยเฟยได้ แต่ด้วยมีศักดิ์เป็นถึงพระราชธิดาองค์ใหญ่ของฮ่องเต้แคว้นเหลียว จึงได้รับการอภิเษกเป็นฮองเฮาในแผ่นดินแคว้นเยี่ยน
เฉินหว่านอิ๋งจัดเตรียมวัตถุดิบในโรงครัว ทั้งพืชผักที่นางเป็นคนไปจัดหาซื้อมาตั้งแต่เช้า ทั้งเนื้อหมูและเนื้อปลาที่เก็บรักษาเอาไว้อย่างดี สตรีจัดการขอดเกล็ดปลาและล้างกลิ่นคาวให้สะอาดด้วยเกลือ ขัดถูไปตามผิวเนื้อของปลาสดตัวใหญ่ประณีต ท่ามกลางสายตาของบรรดานางครัวที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ
เมื่อล้างปลาจนกลิ่นคาวหายหมดแล้ว สตรีนำมีดขนาดใหญ่มาแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ เนื่องจากปลาชนิดนี้เป็นปลากะพงขาว นางตั้งใจว่าจะทำปลากะพงนึ่งให้ฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่ได้รับประทานเป็นมื้อเย็นนี้
ร่วมกับท่านพ่อของนางที่กำลังจะเดินทางกลับมา
เฉินหว่านอิ๋งจำได้ว่าตั้งแต่เด็กนางก็เติบโตมาโดยมีความรักของบิดาที่มอบให้อย่างเต็มที่ ต่อให้เฉินซู่กวงจะวุ่นวายกับราชกิจของฝ่าบาทขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยละเลยต่อนางในฐานะบิดา แต่ความรักจากมารดานั้นกลับไม่มี ตั้งแต่เด็กพอนางเริ่มจำความได้ ฮูหยินใหญ่กับบุตรสาวที่ตนขานเรียกว่าพี่สาวก็ชอบรังแกนางอยู่วันยังค่ำ บางคราหากบิดาไม่กลับจวนก็จะให้นางมีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าต่อให้เฉินฮูหยินกับเฉินรั่วหลานจะรังแกนางอย่างไร เพื่อความสบายใจของบิดาและความสงบสุขของจวน นางจึงไม่ต้องการตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้นให้กลายเป็นปัญหาใหญ่
“ใครก็ได้ ตั้งหม้อร้อนให้ข้าที” นางสั่งกับบ่าวในครัวในขณะที่ตนเองกำลังแล่เนื้อปลาอยู่ แต่ว่าบ่าวพวกนั้นหาได้มีใครฟังไม่ พวกนางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมทำราวกับคำสั่งของเฉินหว่านอิ๋งเป็นดั่งสายลม สาวงามถอนหายใจก่อนจะละมือจากเนื้อปลาที่ยังแล่ไม่ทันเสร็จมาตั้งหม้อร้อนเพื่อให้น้ำเดือดจัด เพื่อที่ว่าอาหารจะได้เสร็จทันเวลาที่ฮูหยินใหญ่จะกลับมา
เดิมทีเฉินหว่านอิ๋งแทบไม่อยากใส่ใจต่อพฤติกรรมของคนเหล่านี้มากนัก อีกทั้งนางมักถูกบิดาตักเตือนบ่อยๆ เรื่องมารยาทและการวางตัว ซึ่งนางล้วนถูกบิดาอบรมสั่งสอนเรื่องเหล่านี้มาทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่การสั่งสอนพวกนี้ควรเป็นหน้าที่ของเฉินฮูหยินผู้เป็นภรรยาและเปรียบเสมือนมารดามากกว่า
เหตุที่เปรียบเสมือนมารดาเพราะว่า...อีกฝ่ายไม่เคยทำหน้าที่ในฐานะมารดาของนางเลยสักครั้ง มีหลายครั้งที่นางทะเลาะกับเฉินรั่วหลานแล้วเฉินฮูหยินก็มักจะเข้าข้างบุตรสาวคนโตอยู่เสมอ ต่อให้พี่สาวอย่างเฉินรั่วหลานเข้ามารังแกนางก่อนก็ตาม แต่เฉินหว่านอิ๋งก็ได้แต่เก็บความทุกข์ระทมและน้อยใจเอาไว้ จนกระทั่งเวลาผ่านล่วงเลยมาหลายสิบปี นางได้เติบโตขึ้นและเห็นความจริงของชีวิตมากขึ้น จึงไม่อยากใส่ใจว่าไม่ว่าใครจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับนางก็ตาม อย่างเช่นวันนี้ที่พวกเขาไปร่วมงานวันสถาปนาฮองเฮาที่ยิ่งใหญ่ แต่เฉินฮูหยินกลับห้ามนางให้อยู่แต่ในเรือนเท่านั้น มีสถานะไม่ต่างจากสาวรับใช้
เฉินหว่านอิ๋งจัดสำรับเย็นตั้งโต๊ะเอาไว้ที่เรือนใหญ่ รอช่วงเวลาที่ฮูหยินใหญ่กับเฉินรั่วหลานและเฉินซู่กวงจะกลับมา นางตั้งตารอพวกเขาตามคำสั่งของพ่อบ้านประจำตระกูล จนกระทั่งเห็นบุคคลทั้งสามเข้าจวนมาอย่างพร้อมกัน สีหน้าขบขันและรอยยิ้มอันอ่อนโยนจากเฉินฮูหยินในฐานะมารดา แม้นางอยากได้สักเพียงใดแต่ก็ไม่มีวันได้
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านพ่อ” เฉินหว่านอิ๋งเดินเข้ามาหาบิดาอย่างนอบน้อม นางรับหมวกขุนนางมาจากบิดาส่งให้กับพ่อบ้านประจำตระกูลนำไปเก็บไว้ที่เรือนนอนหลัก
“แค่ลูกของบ่าวรับใช้ มีสิทธิ์อะไรมาถามท่านพ่อข้าแบบนี้กัน” เป็นเฉินรั่วหลานที่เอ่ยขึ้นมาขณะกำลังโบกพัด ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของเฉินหว่านอิ๋ง นางก็อดอิจฉาในความงามไม่ได้ อีกฝ่ายงดงามอ่อนช้อยตามแบบสตรีที่บุรุษต้องการ ทั้งเก่งการบ้านการเรือน ทำอาหารหรือรสมือดีเสียยิ่งกว่าพ่อครัวในวังบางคนเสียอีก หากคราใดมีพวกขุนนางจากตระกูลสูงพาบุตรชายมาเยี่ยมเรือน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองหาเฉินหว่านอิ๋ง สตรีที่นางเกลียดแสนเกลียด
